เนื่องจากค่าของเงินในอนาคตไม่เท่ากับค่าเงินในปัจจุบัน
การจะติดสินใจต่าง ๆ จึงต้องมีการคิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน หรือมีการคิดลด (Discont) ค่าของเงินในอนาคตให้เป็นมูลค่าในเวลาเดียวกัน
หรือคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันก่อน(Present Value)
ตัดสินใจลงทุน จะเป็นตัวช่วยตัวหนึ่งที่ช่วยในการตัดสินใจว่า
โครงการใดคุ้มค่าในการลงทุกมากกว่า โดยการหา
มูลค่าปัจจุบันของกำไรสุทธิ
: Net Present Value :NPV
ที่มีค่าสูงสุด
โดยมูลค่าปัจจุบันของกำไรสุทธิคำนวณได้โดย
โดยที่
E(CF) = กระแสเงินสดที่คาดหมาย (Expected Cash Flow) และกระแสเงินสดหมายถึง รายรับ–รายจ่าย(ต้นทน)
C0 = อัตราคิดลด (Discount Rate) ซึ่งโดยทั่วไปมักใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เป็นตัวแทน(บางกรณีอาจใช้อัตราเงินเฟ้อก็ได้)
E(CF) = กระแสเงินสดที่คาดหมาย (Expected Cash Flow) และกระแสเงินสดหมายถึง รายรับ–รายจ่าย(ต้นทน)
C0 = อัตราคิดลด (Discount Rate) ซึ่งโดยทั่วไปมักใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เป็นตัวแทน(บางกรณีอาจใช้อัตราเงินเฟ้อก็ได้)
ตัวอย่าง
นายสมชายเจ้าของบริษัทหนึ่ง
กำลังจะตัดสินใจเลือกลงทุนในโครงการบางอย่าง ซึ๋งใช้เงินลงทุน 10 ล้านบาท เป็นเวลา 5 ปี โดยประเมินเบื้องต้นแล้วมีโครงการ 2 โครงการมาให้เลือก และมีรายได้ที่คาดว่าจะได้รับดังนี้
ปีที่
|
โครงการA
|
โครงการB
|
1
2
3
4
5
|
1
5
4
3
2
|
1
2
3
4
5
|
จากตัวเลขรายได้จะเห็นได้ว่า ลงทุนเท่ากันที่ 10ล้านบาท ในระยะเวลา 5 ปี ได้กำไรเบื้องต้นที่รวม 15 ล้านบาทเท่ากัน
เราจึงจำเป็นต้องเลือกโครงการที่ได้ประโยชน์กับกิจการสูงสุด โดยใช้ NPV เป็นตัวเลือกหนึ่งในการช่วยตัดสินใจ โดยสมมุติให้อัตราคิดลดที่
10% หรือ R=10/100=0.1
โครงการ B
=
0.909+1.652+2.254+2.732+3.105-10
= 0.652 ล้านบาท
= 0.652 ล้านบาท
จากการคิดค่า NPV ทั้ง 2
โครงการแล้วจะได้ว่า เมื่อใส่การคิดลด จะเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
หรือมูลค่าเงินเฟ้อ ก็แล้วแต่กรณี แล้วแต่ลักษณะของการลงทุก แต่สุดท้ายจะได้ว่า
กำไรที่ได้จากการลงทุนด้วยเงิน 10 ล้านบาท
ในระยะเวลา 5 ปี ทั้งสองโครงการจะมีกำไรเป็นตัวเงินเท่ากัน
แต่เมื่อเอากำไรที่ประเมินได้มาคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันแล้ว โครงการA จะมีมูลค่าของกำไรมากกว่า
ดังนั้นในกรณีนี้จึงควรเลือกลงทุนในโครงการA
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น